"ฟ้าผ่า" ศาสตร์มืดแห่งการบันทึกภาพดาราศาสตร์
โดย ศุภฤกษ์ คฤหานนท์ 1 กรกฎาคม 2556
ภาพฟ้าผ่าเหนือบริเวณหอสุรนภา หรือ หอดอกบัว ณ
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ด้วยเทคนิคการถ่ายภาพแบบต่อเนื่อง
ภาพละไม่เกิน 30 วินาที
หลายภาพแล้วนำภาพที่บันทึกเส้นสายฟ้าได้มารวมกันด้วยซอฟแวร์ (ภาพโดย :
ศุภฤกษ์ คฤหานนท์ / Camera : Canon 5D Mark ll / Lens : Canon EF
24-70mm f/2.8L / Focal length : 70 mm. / Aperture : 4 / ISO : 200 /
Exposure : 25s)
มีคนกล่าวว่า การถ่ายภาพฟ้าผ่า เป็น “ศาสตร์มืด”
ไม่ใช่ว่าเพราะต้องถ่ายภาพสิ่งเร้นลับหรอกนะครับ
แต่เพราะเป็นการถ่ายภาพกับท้องฟ้ามืดๆ ที่ไม่มีแม้แสงดาว
ทั้งเรายังไม่รู้ว่า...ฟ้าจะผ่าตรงไหน
ตอนไหน...และทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก จึงขอเรียกแบบเท่ๆ นะครับ
ในหลักการถ่ายภาพฟ้าผ่า ณ
ที่นี้ไม่ขอแนะนำและสนับสนุนให้ต้องออกจากบ้านไปอยู่กลางท้องนาเพื่อรอถ่ายภาพสายฟ้า
แต่จะแนะนำเพื่อใช้ช่วงเวลาว่างของฤดูฝนที่ไม่สามารถถ่ายภาพดวงดาวได้นั้น
ฝึกทักษะให้เกิดความชำนาญ
ขณะที่อยู่ในบ้านในห้องพักบนโรงแรมที่เป็นตึกสูง ขณะมีฝนตกและมีฟ้าผ่า
จงใช้โอกาสนี้ให้เกิดประโยชน์และคุณจะได้ภาพฟ้าผ่าสวยๆ มาเป็นของคุณ
การถ่ายภาพฟ้าผ่าก็ไม่ง่ายนัก แต่ก็ไม่ยากเช่นกันนะครับ
การหาพิกัดและความถี่ในการลงของสายฟ้าแต่ละครั้ง
รวมถึงสภาวะแสงและจุดสนใจอยู่ที่การสังเกตการณ์ด้วยตาเปล่าง่ายๆ
ซึ่งถือเป็นขั้นตอนแรกของการถ่ายภาพฟ้าผ่าฟ้าแลบ
จากนั้นก็ประยุกต์เทคนิคการถ่ายภาพเส้นแสงดาวที่เคยเขียนไว้ในคอลัมน์ก่อนๆ
(http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9550000020698)
มาใช้ร่วมกัน ดังนั้น คอลัมน์นี้ผมขอแนะนำเทคนิคการถ่ายภาพ “ศาสตร์มืด”
กันแบบนักถ่ายภาพทางดาราศาสตร์นะครับ
มารู้จักฟ้าผ่ากันก่อน
ก่อนที่เราจะเอาชนะอะไรก็ตามสิ่งที่ควรกระทำคือ
การทำความรู้จักกับสิ่งนั้นๆ เสียก่อน ดังหลักการที่สำคัญเช่น
รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง คำนี้คงได้ยินกันบ่อย
เพราะนี่คือคำสังสอนของ ซุนวู ปรามาจารย์แห่งตำรับพิชัยสงครามของจีน
ชนิดที่ ขงเบ้ง
ก็หยิบมาใช้…ซึ่งเราก็ควรทำความรู้จักกับฟ้าผ่ากันก่อนครับ
ฟ้าผ่าเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติโดยเริ่มจากการก่อตัวของเมฆฟ้าผ่า
(Cumulonimbus Cloud) ที่มีทั้งประจุบวกและลบอยู่ในก้อนเมฆ
เมื่อการสะสมประจุมากขึ้นก็ทำให้ศักย์ไฟฟ้าระหว่างก้อนเมฆกับพื้นดิน
มีการพัฒนาเพิ่มสูงขึ้นจนถึงจุดสูงสุดที่ทำให้เกิดการถ่ายเทประจุไฟฟ้าปริมาณมหาศาลระหว่างก้อนเมฆกับพื้น
ดินที่เรียกว่า "ฟ้าผ่า"
ฟ้าผ่าสามารถผ่าได้ไกลออกไปจากก้อนเมฆได้ถึง 40 กิโลเมตร
ภายในเวลาเพียง 1 วินาทีเลยทีเดียว
ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับฟ้าผ่าที่โด่งดังที่สุด
คงจะเป็นของ เบนจามิน เฟรงคลิน (Benjamin Franklin) ในช่วงศตวรรษที่ 18
โดยใช้ว่าวทองแดงไปล่อฟ้าผ่านั่นเอง
ทำให้เรารู้ว่าฟ้าผ่าเป็นปรากฏการณ์ที่ เกิดจากการไหลของประจุไฟฟ้า
จากที่ๆ มีศักย์ประจุไฟฟ้าสูงไปยังที่ๆ มีศักย์ ไฟฟ้าต่ำ
เทคนิคและวิธีการ...มีดังนี้ครับ มาเริ่มต้นกันเลยดีกว่า
ก่อนอื่นเราต้องกำหนดจุดที่สายฟ้าจะฝ่าลงมาซึ่งบ่อยครั้ง
มันก็จะไม่เป็นไปตามคาด เป็นเรื่องธรรมดาครับ ควรถ่ายภาพกว้างๆ ไว้ก่อน
แต่หากกว้างมากๆ เส้นแสงของสายฟ้าก็อาจดูเล็กเกินไปจนขาดความสวยงาม
(แต่หากมั่นใจว่าสายฟ้ามันจะลงจุดนั้นๆ บ่อยๆ แล้วหล่ะก็
คุณอาจเลือกเลนส์ในช่วงแคบๆ เพื่อให้ได้สายฟ้าที่ ใหญ่ สวย ดุ ชัดเจน
ก็เป็นอีกทางเลือกที่คุ้มค่ากับการเสี่ยง ที่อาจได้ภาพสวยๆ
หรือไม่ได้เลยก็ได้)
1. ตั้งกล้องบนขาตั้งกล้อง (สำคัญมากที่สุด)
2. ปรับโหมดในกล้องเป็นระบบแมนนวล หรือ M (Manual)
เพื่อให้สามารถปรับตั้งค่าต่างๆ ได้
3. เลือกค่า ISO100 - ISO400 ทั้งนี้อยู่อยู่กับสภาพความมืดของท้องฟ้า
เพราะการใช้ค่า ISO สูงๆ นั้นนอกจากจะทำให้เกิด Noise
แล้วยังทำให้ภาพฟ้าผ่าที่ได้สว่างโอเวอร์มากเกิน
4. ตั้งค่า White Balance ที่ 3600 เคลวิน หรือเลือกโหมดการปรับค่า
White Balance เป็นแบบฟลูออเรสเซนต์
เพื่อไม่ให้ท้องฟ้าไม่อมสีแดงมากเกินไปครับ เพราะหากตั้งค่าเป็น Auto
White Balance ภาพฟ้าผ่าของคุณท้องฟ้าจะอมสีม่วงครับ
5. ขนาดรูรับแสงที่ควรเลือกใช้ คือ f-stop f/4 –f/8
เพราะหากใช้รูรับแสงกว้างเกินไปเส้นสายฟ้าจะสว่างโอเวอร์มากเกินไป
หรือหากใช้รูรับแสงแคบ เส้นสายฟ้าก็จะเล็กเกิน
6. เวลาในการถ่ายภาพ ให้ตั้งความเร็วชัตเตอร์ตั้งแต่ 4 วินาทีขึ้นไป
เพราะช่วงเวลาที่เกิดฟ้าแลบ ฟ้าผ่าจริงๆ นั้นจะอยู่ที่ 1-2 วินาที
โดยประมาณ ต่อครั้งเท่านั้นครับ แต่ไม่ควรเกิน 30 วินาที
ซึ่งหากเปิดหน้ากล้องนาน อาจทำให้ในหนึ่งภาพ ติดสายฟ้ามากเกินไป
และทำให้ภาพสว่างโอเวอร์มากเกิน ทำให้ควบคุมความสว่างของภาพได้ยาก
7. ปิดระบบ Long exposure noise reduction ของกล้อง
เพื่อให้สามารถ่ายภาพได้อย่างต่อเนื่อง ไม่หยุดถ่าย Dark Frame
8. ปิดระบบกันสั่นของเลนส์ และการปรับระยะโฟกัสของเลนส์ที่ระยะไกลสุด
(อินฟินิตี้) เนื่องจากกล้องไม่สามารถโฟกัสได้ในเวลากลางคืน
9. ทดลองถ่ายภาพว่าเห็นรายละเอียดของฉากหน้าหรือไม่
โดยวัดแสงให้ภาพอันเดอร์ประมาณ 2-3 สตอป
เพราะแสงจากฟ้าผ่าจะเป็นตัวช่วยเปิดรายละเอียดของภาพให้พอดี
ภาพเปรียบเทียบการวัดแสงถ่ายภาพ (ภาพซ้าย)
เป็นภาพที่วัดแสงให้อันเดอร์ 2 สตอป แล้วเปรียบเทียบกับ
(ภาพขวา)ที่ถ่ายติดฟ้าผ่าทำให้แสงเปิดรายละเอียดได้พอดี (ภาพโดย :
ศุภฤกษ์ คฤหานนท์ / Camera : Canon 5D Mark ll / Lens : Canon EF
24-70mm f/2.8L / Focal length : 70 mm. / Aperture : 4 / ISO : 200 /
Exposure : 25s)
10. ตั้งค่ากล้องถ่ายภาพแบบต่อเนื่อง
โดยใช้สายลั่นชัตเตอร์ ใช้เวลาถ่ายประมาณ 1 ชั่วโมงอย่างน้อย
เพราะเราไม่สามารถทราบได้ว่าฟ้าจะผ่าตอนไหน
ดังนั้นการถ่ายแบบอัตโนมัติแบบต่อเนื่องทำให้เก็บภาพได้ตลอดช่วงเวลาในการถ่ายภาพ
เรียกได้ว่าภายใน 1 ชั่วโมงหากเกิดฟ้าผ่าหล่ะก็ไม่มีพลาด
11. สิ่งสุดท้ายคือ การจัดองค์ประกอบภาพ
ให้มีเรื่องราวว่าเหตุการณ์นั้นเกิดที่ใด
ตัวอย่างภาพถ่ายฟ้าผ่า
โดยถ่ายแบบอัตโนมัติแบบต่อเนื่องทำให้เก็บภาพได้ตลอดช่วงเวลาในการถ่ายภาพ
(ภาพโดย : ศุภฤกษ์ คฤหานนท์ / Camera : Canon 5D Mark ll / Lens :
Canon EF 24-70mm f/2.8L / Focal length : 70 mm. / Aperture : 4 / ISO
: 200 / Exposure : 25s)
เมื่อมีอุปกรณ์ครบแล้ว...ก็ออกไปเดินหาทำเลที่จะถ่ายรูปกันเลยครับ
ผมเลือกถ่ายที่...ระเบียงห้องพักของโรงแรมในมหาวิทยาลัย เพราะว่า...
“ผมกลัวตายครับ” เนื่องจากตรงระเบียงให้ถือว่าปลอดภัยดีครับ
โดยเราต้องเลือกมุมที่จะเห็นท้องฟ้าไกลๆ และฟ้าผ่าไกลๆ
ฝนไม่ควรตกตรงที่เราถ่าย...จะดีที่สุดครับ
เพราะเราต้องการรูปฟ้าผ่า...ไม่ได้ต้องการ...โดนฟ้าผ่า
หลังจากที่ตั้งค่าอุปกรณ์ถ่ายภาพพร้อมทั้งติดกล้องบนขาตั้งกล้องแล้ว
ผม...ยังคง
ปล่อยให้กล้องถ่ายแบบอัตโนมัติต่อเนื่องไป...ฟ้าฝนมาก่อตัวต่อหน้าผม
และจากสังเกตความถี่ในการลงของสายฟ้า ใช่ครับ...เราต้องอยู่ให้ "ถูกที่
ถูกเวลา"
กล้องพร้อม...อุปกรณ์พร้อม...การตั้งค่าพร้อม...ผมรอเก็บรูปสายฟ้า...อย่างเลือดเย็น...และแล้วธรรมชาติที่สะสมและอัดอั้นประจุอยู่นานก็ไม่สามารถทานไหว
ต้องปลดปล่อยพลังงานปริมาณมหาศาลออกมา...เปรี้ยง!!!
แน่นอนหล่ะครับได้แน่...ผมถ่ายภาพต่อเนื่องประมาณ 1 ชั่วโมง
หลังจากนั้นก็นำมาเลือกเอาเฉพาะภาพที่ถ่ายติดสายฟ้าแล้วนำเอาภาพมารวมกันด้วยซอฟแวร์
Starstax (For Mac.) หรือ Startrails (For Window.) เพียงเทคนิคง่ายๆ
จากการประยุกเอาความรู้การถ่ายภาพทางดาราศาสตร์มาใช้
ก็สามารถถ่ายภาพสายฟ้า ที่ในอดีตเคยกล่าวกันว่า ถ่ายยากถ่ายเย็น
แต่ในวันนี้เปลี่ยนไปแล้วครับ และด้วยเทคนิคนี้ผมรับรองว่า 80
เปอร์เซ็นถ่ายติดสายฟ้าแน่นอนครับ
เทคนิคต่างๆ นี้คือพื้นฐานโดยทั่วไปเท่านั้น
ภาพที่ดีสวยงามจะเกิดขึ้นได้จากการฝึกฝนถ่ายบ่อยครั้ง
อย่าท้อถอยจนกว่าจะได้ภาพที่ดีที่สุด
เชื่อว่าสักวันฟ้าจะประทานให้คุณอย่างแน่นอน
|